ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

นิพพานกระดาษ1

๖ มี.ค. ๒๕๕๓

 

นิพพานกระดาษ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


เราจะพูดถึงทางวิชาการกับทางปฏิบัตินะ ถ้าทางวิชาการเนี่ยความเห็นของโลกไง เพราะว่าเรานะมีพวกพระอย่างน้อย ๒ องค์ และโยมด้วย มาปรึกษาเพราะเขาทำวิทยานิพนธ์จะเป็นด็อกเตอร์ ทำวิทยานิพนธ์เรื่องนิพพาน เขาพยายามทำวิทยานิพนธ์นิพพานแล้วไปเสนอเรื่องนะ เสนอมาปรึกษาบ่อยมาก เขาค้นคว้านะในความเห็นของมหายาน นิพพานไง สุขาวดี สุขาวดี นิพพาน แบบภาคตะวันตกเขาค้นคว้าทั้งมหายาน ทั้งเถรวาท และมหายานแต่ละ... และเอาเราเป็นที่ปรึกษาด้วยไง แล้วทำวิทยานิพนธ์ส่ง เราบอกตั้งแต่ทีแรกว่าไม่ผ่านหรอก ไม่ผ่าน ยังไงก็ไม่ผ่าน แล้วเขาก็เสนอพุทธศาสตร์ของธรรมศาสตร์มั้ง แล้วอีกทีก็พุทธศาสตร์ของมหาจุฬา มาปรึกษาเรื่องนี้เยอะ แล้วไม่เคยผ่าน

เราบอกเนี่ยนิพพานกระดาษไม่ผ่านหรอก นิพพานกระดาษ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราเสนอวิทยานิพนธ์นี่ มันต้องมีกรรมการใช่ไหม มีอาจารย์ตรวจสอบ แล้วอาจารย์ที่ตรวจสอบ เขามีการศึกษาของเขามาแต่ละคน หนึ่งคนก็หนึ่งความคิด คือมีตุ๊กตาหนึ่งตัว คนหนึ่งก็มีตุ๊กตาคนละตัว คนละตัวเพราะคณะกรรมการ ตรวจสอบวิทยานิพนธ์ นี้คณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์ จะบอกนิพพานเนี่ย แล้วกรรมการจะให้มุมมองเหมือนกันเนี่ย นิพพานกระดาษกลับไม่ผ่าน ถ้านิพพานความจริงไม่ต้องไม่มีใครรับรองไม่มีใครรับประกัน ถ้านิพพานกระดาษไม่ผ่าน ไม่ผ่านเพราะคณะกรรมการนะมีตุ๊กตาคนละตัว ตุ๊กตาคือทิฐิ ทิฐิความเห็นของนักวิชาการแต่ละบุคคล ทิฐิความเห็นของนักวิชาการแต่ละบุคคลเนี่ยเขามีตุ๊กตาของเขาแล้ว ถ้าตุ๊กตานั้น มันจะเป็นนิพพานได้อย่างไร ตุ๊กตานั้นคือทิฐิคือรูปแบบของเขาที่มีการศึกษามา ที่เขามีข้อมูลของเขามา แล้วมันไม่ใช่มีตุ๊กตาตัวเดียวนะ ถ้าคณะกรรมการมีเท่าไหร่มี ๔ มี ๖ มี ๘ ก็ตุ๊กตามี ๔ มี ๖ มี ๘ แล้วตุ๊กตาเห็นไหมดูสิ

ทางนักวิชาการนะ บางคนไปศึกษาจากเมืองจีน บางคนศึกษามาจากอเมริกา อังกฤษ ตุ๊กตามันคนละสัญชาติ คนละเชื้อชาติเนี่ยคือปัญญาของคน ทิฐิของคนมันหลากหลายแล้วคณะกรรมการอย่างนี้ แล้วบอกว่านิพพานเนี่ย ยิ่งนิพพานกระดาษไม่มีทางเป็นไปได้เลยไม่เป็นไปได้เพราะความเห็นของเขามันเป็นไปไม่ได้ นี้พอเป็นไปไม่ได้ปั๊บ เขาเสนอนะ เขาแก้ไขสองรอบสามรอบ แล้วเขาบอกทำนองบอกกับลูกศิษย์ เพราะเขามาปรึกษาเรา บอกว่าคงไม่ผ่านหรอก อย่างไรก็ไม่ผ่านต้องเปลี่ยนหัวข้อเรื่องการทำวิทยานิพนธ์ สุดท้ายเขาก็เลยเปลี่ยน เปลี่ยนเป็นวิธีการสอน เขาไม่เปลี่ยนนิพพานเขาเปลี่ยนวิธีการการสอน พอเสนอทีเดียวจบเลย ถ้าเสนอนิพพานไม่ผ่านยังไงก็ไม่จบเพราะทางนิพพานกระดาษใช่ไหม เพราะว่าคณะกรรมการเขาก็ด็อกเตอร์กันทั้งนั้นเขาเป็นศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ทั้งนั้น แล้วเขาจะให้ผ่านไปนิพพานอย่างนี้ ของเขาแต่ละบุคคลเนี่ย แล้วเราเข้าใจนะ

ทางวิชาการนี่ส่วนใหญ่แล้ว เขาศึกษามาของเขา มันก็มีแบบว่าถ้าศึกษาส่วนใหญ่ทางวิชาการแล้วเขาต้องมีความเห็นแบบพุทธทาสว่างั้นเลย แล้วนิพพานอย่างนั้น นิพพานแบบ เพราะเรายกไว้สูงมากเราไม่กล้าแตะต้องเขาเราไม่กล้าแตะต้องนะ เพราะเราไม่เป็นอย่างนั้น ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นนะ แล้วจะให้เด็กที่มันทำวิทยานิพนธ์ พูดถึงทำวิทยานิพนธ์เรื่องนิพพาน แล้วให้ผ่านไปเนี่ย แล้วเด็กพวกนี้ มีวุฒิภาวะแค่ไหน นี่ไง เราถึงบอกว่า คำว่าตุ๊กตาของแต่ละบุคคลเห็นไหม ตุ๊กตาของเขามีทิฐิของเขามี ทิฐิเขามีแล้วเขาจะให้ผ่านไปได้อย่างไร ไม่ผ่าน นี่พูดถึงนิพพานทางกระดาษนะ

แต่ถ้าเป็นตามความเป็นจริง นิพพานของฝ่ายปฏิบัติ ทางฝ่ายปฏิบัติเนี่ย มันก็ไม่ใช่นิพพานทางกระดาษ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา จิตนาการความเห็นเนี่ย มันก็แตกต่างหลากหลาย และความแตกต่างหลากหลายมันอยู่ที่การปกครอง พระพุทธเจ้าถ้าไม่เกี่ยวเนื่องการปกครองนะ พระพุทธเจ้าไม่แบ่งไว้ คันถธุระ วิปัสสนาธุระ เพราะคันถธุระนี่ ทางการปกครอง ที่เขาปกครองกันอยู่เนี่ย เขาปกครองกันด้วยกฎหมายใช่ไหม ด้วยศีลธรรมประเพณีวัฒนธรรม แต่การปกครองของวิปัสสนาธุระเนี่ย ถ้าจิตใจไม่สูงกว่าจิตใจไม่เข้าถึงเป้าหมายนั้น ไม่เคยได้สัมผัสสิ่งนั้น มันจะเอาอะไรมาตรวจสอบตรวจวัด

ฉะนั้นไงเอาความตรวจสอบตรวจวัดนี่ไง สิ่งที่ว่า ถ้านิพพานกระดาษเป็นไปไม่ได้เลย มันจะขัดแย้งกัน ขัดแย้งกันเพราะว่า เพราะจิตมันส่งออก จิตส่งออกอยู่ที่องค์ความรู้ องค์ความรู้นั้น มีการการันตีด้วยประกาศนียบัตร สิ่งที่ประกาศนียบัตรได้การยอมรับจากสังคม มีหน้ามีตาทางสังคมเห็นไหม เนี่ยนิพพานกระดาษ มันมีสิ่งที่รองรับค้ำคออยู่มากมายเลย แต่ถ้าในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าในคันถธุระ ในวิปัสสนาธุระ ถ้าในวิปัสสนาธุระนะแต่เดิม แต่เดิมการปกครองเนี่ยวิปัสสนาธุระ จะให้วิปัสสนาธุระเนี่ยปกครองกัน ปกครองเพราะอะไร ปกครองเพราะว่าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันผ่านการเปลี่ยนแปลงวุฒิภาวะทางจิต มันเปลี่ยนแปลงมา มันเห็นการเปลี่ยนแปลงมา ความเปลี่ยนแปลงเห็นไหม นิพพานแท้ๆ เห็นไหม

กระบี่อยู่ที่ใจ กระบี่อยู่ที่ใจดูสิเวลานักรบเห็นไหม นักรบออกรบเขาต้องฝึกฝนของเขาเห็นไหม เพื่อฝีมือของเขา เพื่อความชำนาญของเขา เขาต้องมีกระบี่นะ กระบี่นี่เอาไว้ใช้เป็นอาวุธ สิ่งที่เป็นอาวุธ แต่ถ้าเราเปรียบเด็กฝึกหัดใหม่เห็นไหม อย่างพวกเรานะจิตใจเราเนี่ยไม่ใช่นักรบ ไอ้เรื่องอาวุธนี่ เราไม่อยากจับหรอกเราไปจับอาวุธเขาสิ จิตใจเรารู้สึกเป็นอย่างไร พอเราจับอาวุธเขา จิตใจเรามันแบบว่ามันหวั่นไหวเลย มันไม่สมควร มันไม่ใช่หน้าที่อะไรของเรา มันเป็นอาวุธทำร้ายกัน เราไม่กล้าจับหรอก เพราะเราไม่กล้าจับ เราถึงจะฝึกกระบี่ กว่าเอ็งจะฝึกเป็นนี่อีกนานมาก

แต่เวลานักกระบี่ของเขานะเห็นไหม เขาต้องทำความสงบของเขา เขาทำใจนิ่งของเขา แล้วยิ่งเรากับเพลงกระบี่นั้น เป็นเนื้อเดียวกันเพลงกระบี่นี้มันจะพลิ้วแล้วการต่อสู้ระหว่างข้าศึกนี่ เขาจะตอบรับกับเพลงกระบี่เราไม่ได้ แล้วถ้าจิตใจเนี่ย ถ้ากระบี่อยู่ที่ใจเลยไม่มีกระบี่เลย คนมีกระบี่ถ้ามีกระบี่ แล้วมันจะต่อสู้ มันต้องพลิ้วต้องมีความชำนาญในเพลงอาวุธนั้น แต่ถ้ากระบี่อยู่ที่ใจนะหยิบไม้หยิบต่างๆ มือของเราเนี่ย เราตบเราสามารถทำให้กระบี่หลุดจากมือศัตรูได้หมดเลย นี่ไงเนี่ยพูดถึงวิปัสสนาธุระ วิปัสสนาธุระเห็นไหม แม้แต่การย่างก้าวนี่นะ สำนักบู๊ลิ้ม เขารู้เลยเนี่ยเพลงอะไร เพลงกระบี่อะไร ออกมาจังหวะไหนการทำอย่างไร

การภาวนานี่ อ้าปากพูดก็รู้แล้ว อ้าปากพูด มันจะรู้เลยว่าทำสมาธิเป็นไหม ใช้ปัญญาเป็นไหม ถ้าการใช้ปัญญาเป็น กระบี่ที่ออกมานะ ลวดลายของกระบี่เพลงอาวุธอย่างใด แล้วเพลงไม้ตายเนี่ย เขารู้กันเลยเพราะว่ามีความสามารถขนาดนี้ มือกระบี่นี้ไม่ใช่ธรรมดา แต่ถ้ามือกระบี่นี้หยิบกระบี่ขึ้นมามือไม้สั่นหมดเลย แล้วเจอกระบี่ หัวใจก็สั่นคลอนไปหมดเลย ไอ้นี่มันมือกระบี่อะไรเนี่ย มันเด็กอนุบาลนะ มันไม่เข้าใจหรอก มันไม่รู้หรอก สิ่งนี้มันเป็นไปไม่ได้ในการปฏิบัติ ในวงปฏิบัติเห็นไหม วงปฏิบัติความเป็นจริงขึ้นมา มันฟังทีเดียวมันก็รู้แล้วไปตามความเป็นจริงนั้น ฉะนั้นถ้ากระบี่มันอยู่ที่ใจเห็นไหม ถ้ากระบี่อยู่ที่ใจนะไม่มีกระบี่ เขามีกระบี่เขารบกันเขามีกระบี่เขาต้องป็นอาวุธนะ เพื่อได้เปรียบเสียเปรียบ อาวุธใครมีความเข้มแข็ง มีความคมกล้ามากกว่ากันแต่ถ้ากระบี่อยู่ที่ใจเนี่ย เราไม่มีกระบี่เลย ไม่มีสิ่งใดเลย ทำไมเราเหนือกว่าเขาล่ะ เราเหนือกว่าคนที่มีอาวุธเหนือกว่าทุกๆ อย่างเลย เหนือจนชนะหมดเลย

ในภาคปฏิบัติเห็นไหม สูงสุดสู่สามัญ สูงสุดสู่สามัญ เพราะสูงสุด สูงสุดเพราะการสูงสุด นี่คือการฝึกกระบี่นะ การฝึกใจวุฒิภาวะให้มันสูงขึ้นไป จากโสดาบัน สกิทา อนาคาเนี่ย มันพัฒนาขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปนะ แต่สูงสุดสู่สามัญ พอสูงสุดพอมันพ้นออกไปแล้ว แล้วมันเข้าใจหมด มันเห็นของมันหมด นี่ จะบอกว่าถ้านิพพานกระดาษจะเป็นไปไม่ได้เลยนิพพานกระดาษเป็นทางวิชาการเพราะมีตัวตน มีตัวตน มีความขัดแย้ง มีความเห็น มีมุมมองมีทุกอย่างเลย แต่ถ้าเป็นนิพพานโดยภาคปฏิบัติ ถ้ามันเป็นความจริงของมันนะ ถ้ามันเป็นความจริงของมัน มันไม่มีรูปแบบ มันไม่มีรูปแบบเพราะอะไร เพราะว่าการประพฤติปฏิบัติของแต่ละบุคคลมันแตกต่างกัน ด้วยจริต ด้วยนิสัยด้วยอำนาจวาสนา ด้วยมุมมอง ด้วยทิฐิ แต่ แต่ทุกๆข้อ มีอันเดียวนะเวลาสำเร็จ สำเร็จเหมือนกันนะ

อริยสัจมีหนึ่งเดียวไง ทีนี้อริยสัจมีหนึ่งเดียวนี่ความแตกต่างความหลากหลาย ครูสอนนักเรียนจะเห็นเลยนะ นักเรียนเนี่ยนะ เป็นร้อยเป็นพัน เราบริหารโรงเรียน นักเรียนเป็นร้อยเป็นพันนะ แต่เวลาเข้าห้องสอบเห็นไหมข้อสอบใครเป็นคนตรวจ เวลาตรวจข้อสอบ ไอ้ความเห็นความชำนาญของเด็กนั่นอย่างหนึ่ง จริตนิสัยของเด็กอย่างหนึ่ง คนร่าเริงคนแจ่มใส เด็กที่มันปานกลาง เด็กที่มีปัญหาในตัวของมันเองนั่นเป็นของเขานะแต่เวลาผลสอบมันออกมาในกระดาษหมดนะ เราตรวจที่กระดาษนั้นนะ นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ความเป็นไปของเขาอะไรของเขาเนี่ย สิ่งแวดล้อมสภาพแวดล้อมเราดูแลกันได้

แต่เวลาผลของปฏิบัติเนี่ย จิตมันรวมลงอย่างไร แล้วมันมีปัญญาเกิดขึ้นมาได้อย่างไรแล้วปัญญาเนี่ย เราตรวจผลในกระดาษเนี่ย เราจะให้คะแนนเท่าไหร่เวลาเขาตอบมาทั้งโจทย์ทั้งคำตอบต่าง ๆ มันถูกต้องไหม ถ้ามันถูกต้อง เราให้คะแนนแล้วแต่ว่าสมควรให้ได้เท่าไหร่ นี่ก็เหมือนกันเวลาพูดถึงสมาธิ เอ็งมีความชำนาญเท่าไหร่เอ็งพูดเอ็งเข้ามา ได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าได้มากน้อยขนาดนี้แล้ว ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมาอีกนะ ปัญญามันเกิดขึ้นมา ปัญญามันเกิดขึ้นมามันทำแล้วทำเล่า อันนี้เราไม่แน่ใจว่าผลตอบนี้ได้คัดลอกมาหรือปล่าเห็นไหม ให้ทำใหม่ ทำใหม่ ถ้าเขาทำ ทำดีกว่าเก่าอีกเพราะเขาได้ทำแล้วทำดีกว่าเก่า อันนี้ของจริง

นี่เวลาประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติของเรา ถ้ามันเป็นความจริง ปฏิบัติเป็นความจริงขึ้นมา มันมี มันเห็น มันรับรู้ของมันแล้วมันพูดได้ตามความเป็นจริง ตามข้อเท็จจริงนั้น ฉะนั้นนิพพานที่เป็น สันทิฏฐิโกนี้สำคัญ ผลในการประพฤติปฏิบัติ สิ่งนี้ต่างหากล่ะ ถึงจะเป็นผลตามความเป็นจริง แต่ถ้าพูดถึงผลตามความเป็นจริงนะ เราจะบอกทางโลกไง ถ้าทางโลกเห็นไหม ถ้านิพพานกระดาษ มันน่าเชื่อถือนะเพราะได้กระดาษคนละแผ่นเห็นไหม ชีวิตนี้เข้ามาศึกษาเพื่อเอากระดาษแผ่นเดียว เอากระดาษแผ่นเดียวการันตีว่า เรามีความรู้ เรามีความรู้แต่มีความรู้ขึ้นมานั้นมันเป็นทางโลกเห็นไหม

ฉะนั้นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าบอกมีความจำเป็นไหม การศึกษานี้มีความจำเป็นนะ แต่ความจำเป็นคือศึกษามาเพื่อปฏิบัติ ไม่ใช่ศึกษามาว่าเรามีความรู้ ถ้าศึกษาแล้ว เรามีความรู้นะ เราติดตรงนั้น แล้วพอศึกษาแล้วมีความรู้แล้ว เนี่ย มันเป็นกรอบเห็นไหม เราถึงพูดบ่อยว่าวิทยาศาสตร์นี้เป็นกรอบ แล้วการปฏิบัติด้วยวิทยาศาสตร์ เราจะไปกันไม่ได้ ฉะนั้นเวลาศึกษาแล้ว เวลาเราจะปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์เห็นไหม เวลาเราศึกษามาทางทฤษฏี ทางวิทยาศาสตร์เราศึกษามาเต็มที่เลย แต่เวลาเราเข้าห้องแล็บของเรา เราอันนั้นกริยาที่เราทำกับสิ่งที่เราศึกษามา มันแตกต่างกันไหม มหาศาลเลย

นี่ก็เหมือนกันศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ามา แล้วเราวางไว้วางไว้นะ เวลาปฏิบัติไปอย่างนั้น ถ้าศึกษาทางพระพุทธเจ้ามาแล้วไม่วางไว้นะ เวลาปฏิบัติมันเป็นกรอบใช่ไหมมันสร้างภาพ มันสร้างภาพนะ ดูสิ ที่เขาบอกว่าอย่างนี้เป็นวิปัสสนูกิเลสหรือเปล่าไม่เป็น วิปัสสนูกิเลสนะจิตมันสงบ โอปาายิกังคะ ความว่าง ความปีติต่างๆ เนี่ยอุปกิเลส คำว่าอุปกิเลสคือจิตมันลงแล้ว จิตมันทำแล้ว คือมันทำงานแล้วไง ทำงานสำเร็จแล้ว แต่งานนั้นไม่สมบูรณ์ แต่ที่เขาบอกว่าเป็นอุปกิเลสไหมเนี่ย มันเป็นตำราหมดเลยไง เพราะคำว่าอุปกิเลสใช่ไหม เพราะเป็นทฤษฏี พอใจเราเป็นอย่างนั้นปั๊บ ใจเรามีความรู้สึก มีความนึกคิด คิดว่าปัญญาที่เกิดขึ้นมาเป็นอุปกิเลสไง เพราะอะไร เพราะคนเราไม่สัมผัสใช่ไหม คนเราไม่เคยสัมผัส

อย่างเช่น ไถนาเนี่ยชาวนาที่ไถนาเป็นอาชีพของเขาเนี่ยเขาชำนาญมากเลย เขาจะคำนวณได้เลยว่ามันควรลงไถนาเมื่อไหร่ ดินอ่อนดินแข็งดินควรลงไถนา ควรคราด ควรหว่าน ควรไถ ดูแลต้นข้าว แล้วเก็บเกี่ยวมันอย่างไร เขาทำวงจรของเขามาตลอดเลย เราหัด เราเพิ่งจะทำนาเราจะลงไปทำนา พอทำนา ก็อันนี้เป็นอย่างนี้ อันนี้เป็นอย่างนี้ นี่คำว่าอุปกิเลสไง อุปกิเลสเรายังไม่ได้ทำนาเลย แต่ชาวนาเขาทำนาด้วยภาคปฏิบัติของเขา ด้วยความชำนาญของเขา แต่เราศึกษาวิธีการทำนามาตลอดเลย แล้วเราก็กังวลใช่ไหมว่าลงไปทำนา นี่ จะไถนาอย่างไร ไถนาแล้วเข้าน้ำกี่วัน อะไรกี่วันมันก็กลับมาที่ว่า

พอจิตเรามันมีความคิด มันมีความรับรู้ต่างๆ มันจะมีอาการของมัน แล้วถามว่าอย่างนี้เป็นอุปกิเลสหรือเปล่า เราถึงบอกว่าไม่ใช่อุปกิเลสนะ สิ่งที่ว่าภาวนาไปแล้วว่างหมด สุขหมดนั่นแหละอุปกิเลส อุปกิเลสเพราะมันไม่ก้าวเดินต่อไป พอมันว่างมันมีความว่างใช่ไหม มันมีความรู้สึกต่างๆ มันเป็นความมหัศจรรย์ รสของธรรมชนะรสทั้งปวง รสของสมาธิธรรม รสของปัญญา รสชาติของมันเห็นไหม รสชาติของมันกับความสัมผัสของเรา ชีวิตประจำวันของเรา ที่เราใช้ปัญญาของเรา ที่เราศึกษาของเรา เนี่ยปัญญาอย่างนี้ มันปัญญาอย่างหนึ่ง พอจิตมันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง วุฒิภาวะมีการเปลี่ยนแปลง จิตมันมีการพัฒนาของมัน มันพัฒนาถึงบอกว่าไม่ต้องปฏิบัติหรอก ถ้าวันไหนนะ มีความพอใจ ได้อะไรที่พอใจนี่ มันจะมีความสุขมากเลย ไม่ได้ปฏิบัติธรรมก็สุขได้

แล้วบอกว่าเมื่อก่อนไม่ได้ภาวนานะ โอ้โฮ เป็นคนที่ทุกข์มากเลย เดี๋ยวนี้พอมาปฏิบัตินะมีความสุขมากเลย ความสุขอย่างนี้มันเข้าใจได้ไง มันเข้าใจได้ความสุขอย่างนี้เป็นความสุข ถ้าจิตมันปล่อยวาง พอจิตมันปล่อยวาง มันปล่อยวางโดยที่ว่ามันไม่มีสติปัญญาที่เป็นคนควบคุม เหมือนผู้ใหญ่ทำงาน ผู้ใหญ่เห็นไหม เวลากินข้าวกินปลาเนี่ยเก็บถ้วยเก็บจาน เก็บล้างเนี่ย จะเก็บแล้วทีเดียวเสร็จเลย ลองให้เด็กๆ มันกินข้าวกินปลาแล้วให้มันเก็บล้างสิ มันเก็บล้างนะโห ล้างเกลี้ยงเลยนะ ล้างแล้วล้างอีกเก็บไปเก็บมาอยู่อย่างนั้น จิตก็เหมือนกัน จิตนะ ถ้าพูดถึงนะ มันเป็นเด็กน้อย มันสัมผัสสิ่งใดเนี่ยนิพพานไง

โห นี่ความสุข มันจับพลัดจัดผลู มันทำงานไม่เป็นหรอก มันทำงานไม่ถูกหรอก แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่นะ กินทีเดียวเก็บทีเดียว เก็บหนเดียวมันสมบูรณ์เลย จิตมันเป็นอย่างนั้นอุปกิเลสหรือไม่อุปกิเลสเห็นไหม อุปกิเลสมันยังไปมากกว่านี้ นี่พูดถึงเวลาเราปฏิบัติเห็นไหม เราจะมีผล มีประสบการณ์ ประสบการณ์ของจิต การพัฒนาของจิต มันมีความเห็นของจิต จิตมันพัฒนาการของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป นี่มันต้องมีพื้นฐานขั้นตอนของมันมีพัฒนาการของมัน ถ้าพัฒนาการของมันเนี่ย วิปัสสนาธุระ วิปัสสนาธุระนะ จิตเราเสื่อมเราก็รู้ว่าเสื่อมนะ แล้วพอภาวนาไปเนี่ย เพราะคนเราทำงานเนี่ย ขิปปาภิญญา ปฏิบัติแล้วมันจะรู้ง่าย

แต่ถ้าเวไนยสัตว์ คนเราห้าสิบห้าสิบกึ่งๆ แล้วพวกเนี่ยมันพยายามต้องต่อสู้การต่อสู้ ต่อสู้กับใครต่อสู้กับกิเลสในหัวใจของเรา ต่อสู้กับสิ่งที่มันต่อต้าน มันต่อต้านนะ เวลามันสงบตัวมันเจียมตัวเจียมตน เพราะมีสติปัญญาดี กิเลสมันจะเจียมตัวมันจะสงบนิ่งอยู่ในใจของเรา ตอนนั้นเราก็สุขสบาย เราก็มีหลักมีเกณฑ์ของเรา แต่ถ้ามีอะไรกระทบเห็นไหม มีอะไรกระทบอะไรไปขุดคุ้ยมันจะแสดงตัวเต็มที่เลย เวลามันแสดงตัวเต็มที่ มันก็ฟุ้งซ่านใช่ไหม ฟุ้งซ่านสมาธิก็น้อยลงใช่ไหม เนี่ยจิตเสื่อม ถ้าจิตไม่เสื่อม จิตดีเพราะกิเลสมันสงบตัว มันเจียมตัวเจียมตนอยู่ในใจของเรา เพราะกำลังของสมาธิ กำลังของสติปัญญาของเราเนี่ยมันดี พวกนี้มันสงบตัวอยู่ชั่วคราว นั่นน่ะ แต่แล้วมันอยู่อย่างนั้นตลอดไปได้ไหม สรรพสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมเป็นอนัตตา

สภาวะที่เกิดขึ้นมันเป็นอนัตตา มันเป็นของชั่วคราวทั้งนั้น เวลาพอมันสิ้นสุดแห่งสุขก็เป็นทุกข์ สิ้นสุดแห่งทุกข์ก็เป็นสุข เนี่ยเพราะว่าจิตมันสงบ มันมีความสุข เรามีความพอใจมากล่ะ โอ้โฮ สุดยอดเลย ถ้าอย่างนี้แล้วนะภาวนาเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าเผลอปั๊บพอเผลอหรือว่าสติเราอ่อนนะ เนี่ยพอกิเลสมันไหวตัวของมัน มันมีอำนาจกำลังของมันขึ้นมานะ สมาธิต้องอ่อนลงธรรมะต้องอ่อนลงเป็นธรรมดา เนี่ยจิตเริ่มห้าสิบห้าสิบนะหรือน้อยกว่าเนี่ยจิตเสื่อม จิตเสื่อมนี่ไม่ใช่เสื่อมจนหมดนะ ไม่ใช่เสื่อมจนไม่มีอะไรเหลือเลย แต่เพราะเราเคยได้สัมผัสรสชาติที่จิตมันเจียมตัวเจียมตน ที่มันหลบอยู่ แล้วเราคนเดียวปกครองอยู่ มันรื่นเริงอยู่ไง มันก็มีความสุขใช่ไหม แล้วเวลากิเลสมันขอครึ่งหนึ่ง พอครึ่งหนึ่งเนี่ยเราก็รับไม่ได้ละ เรารับไม่ได้ เรามีความทุกข์ใจละ เราไม่มีความพอใจในตัวเราละ

เนี่ยจิตเสื่อมแล้วอาการอย่างนี้มันจะมีทุกๆ คนไง อาการอย่างนี้ ในการปฏิบัติเนี่ย อาการอย่างนี้ มันจะแปรปรวนมันจะเป็นไปตลอดเวลา พอมันเป็นไปตลอดเวลาเห็นไหม จิตเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ มันมีการแก้ไขของมัน ถ้าคนปฏิบัติมันต้องมีอย่างนี้ ไม่ใช่ว่ามันก็มีแบบว่าขิปปาภิญญาเท่านั้นที่ถึงที่สุดแล้ว วัดระดับแล้วถึงที่สุดเลย คือถ้ามันบรรลุธรรมก็บรรลุธรรมเลย เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป แต่ถ้ามันไม่บรรลุธรรม มันต้องผ่านการเจริญแล้วเสื่อมเห็นไหม เนี่ยปรากฏการณ์ของจิต ปรากฏการณ์ของเรา แล้วเราเกิดกับเราใช่ไหม เจริญๆเพราะอะไร เวลาเสื่อม เสื่อมเพราะอะไร เวลาเสื่อมแล้วเจริญกลับมาใหม่ จะทำอย่างไร

ถ้ามันทำอย่างนี้ได้บ่อยครั้งเข้าเห็นไหม มันมีความชำนาญขึ้นมา มันโตขึ้น จิตมันโตขึ้น จิตมีกำลังขึ้น จิตมันพัฒนาขึ้นเห็นไหม ที่พัฒนาขึ้นน่ะมันก็รู้ของมันใช่ไหม ถ้ารู้ของมัน แล้วคนอื่นจะมาปฏิบัติ ก็เป็นอย่างนี้ถ้ามันเป็นอย่างนี้นี่ไง ถ้าวิปัสสนาธุระ วิปัสสนาธุระเขาต้องมีจิตที่เคยพัฒนาแล้ว ที่เคยภาวนาจนเป็นแล้วเห็นไหม เนี่ยมีปรากฏการณ์อย่างนั้น พอปรากฏการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้น เวลาฟัง เวลาผู้ที่ด้อยกว่าอ่อนกว่ามาปรึกษาเห็นไหม ฟังทีเดียวก็รู้ มันอาศัยฟังทีเดียว ถ้าไม่เคยประสบไม่เคยผ่านเวลาพูด มันพูดจากปริยัติ มันพูดแบบธรรมะนิพพานกระดาษนั้นน่ะ ถ้านิพพานกระดาษเป็นวิชาการ นิพพานในกระดาษนิพพานของพระพุทธเจ้านิพพานกระดาษ แล้วพอนิพพานกระดาษ แล้วตัวเองมีทิฐิด้วย แล้วถ้ามันเป็นไปนะ มันเป็นไปอย่างนี้มันออกนอกลู่นอกทางอย่างนี้ไม่ตรงกับพุทธพจน์ ถ้าพุทธพจน์ต้องเป็นอย่างนี้พุทธพจน์ คำว่าพุทธพจน์ ธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างหนึ่งนะ ทิฐิของเรา เพราะเราอ่านในกระดาษ

ธรรมจริงๆ นะมันอยู่ในใจของพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าแสดงออกมาเป็นทางวิชาการ เป็นแนวทาง อันนี้เป็นกริยาของธรรม เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา รสของธรรม เวลาจิตเราสงบเนี่ย ความสงบในใจของเรา เนี่ย ธรรมะจริง แต่เวลาอธิบายออกมาเปรียบเทียบออกมาเห็นไหม มันก็เป็นคำกริยาเพราะเราพยายามเปรียบเทียบถึงความสุขของใจ ฉะนั้นนิพพานกระดาษเขาจำกริยานั้นมา เขาจำกริยานั้นมา เขาไม่ได้จำรสของธรรมมา เพราะรสของธรรมเขาไม่เคยเห็น เขาไม่เคยรู้ถ้ารสของธรรม เขาไม่เคยเห็นเขาไม่เคยรู้ เขาจำกริยามา แต่จิตของเราเวลาลงมันลงสู่ฐีติจิต มันลงสู่ตัวจริงใช่ไหม แต่เวลาอธิบายมันก็อธิบายออกมาเป็นกิริยาเห็นไหม แล้วนี้กริยา กริยาเนี่ยมันเข้ากันใช่ไหม

ถ้าธรรมะในกระดาษ นิพพานในกระดาษเนี่ย ๑. ตัวเองมีทิฐิของตัวเองอยู่แล้ว ๒. มุมมองที่เข้าไปถึงความจริงในธรรมของพระพุทธเจ้าไม่มี เข้าไปถึงธรรมของพระพุทธเจ้าไม่มี พอไม่มีมันจำกริยานั้นมานี่ไง นี่ปรัชญาไง ปรัชญา โลกทัศน์สิ่งต่างๆนี้ เราเข้าใจได้แต่ความจริงในเบื้องหลังปรัชญานั้นเราเข้าใจไม่ถึง พอเข้าไม่ถึง เนี่ยนิพพานกระดาษ ฉะนั้นเพียงแต่ตรงนี้เราจะบอกว่า

ถ้าพูดถึงทางภาคปริยัติเนี่ย เราศึกษาในแวดวงของปริยัติ เราเป็นวิชาการ เราฟังไว้แต่เวลาปฏิบัติแล้วนะถ้าเรายึดปริยัติ เรายึดปริยัติเวลาจะเข้าความจริงเนี่ย เรากลัว เรากลัวจะผิด เรากลัวจะผิด ใจเราจะลงเราไม่ปล่อยให้ใจเราลงไง เรากลัวเราจะเสีย เราว่าเรากลัวจะเสีย เราเลยไม่ได้อะไร เพราะเราไม่ได้ลงไปพิสูจน์ไง แต่ถ้าเราวางนะ ทฤษฎีเราเรียนแล้วปริยัติเราเรียนแล้ว เช่นทางธรณีวิทยาเห็นไหม การขุดค้นเนี่ย ถ้าเราบอกว่าเราจะขุดค้นลงไปเนี่ย มันจะกระทบกับสิ่งต่างๆ เราไม่ได้ขุดค้นอะไรเลย

ทางธรณีวิทยาเราจะตรวจสอบนะ ตรวจสอบแผ่นดินตรวจสอบแร่ธาตุต่างๆ เราต้องขุด เราต้องพิสูจน์ลงไป แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าที่เราขุดลงไปเนี่ยมันจะมีอะไรบ้าง มันจะมีอุปสรรคอย่างไรบ้าง ถ้าขุดค้นลงไปเนี่ยเราจะมีอุปสรรคอะไรบ้าง จิตมันจะลงสู่ความสงบ มันจะมีอุปสรรคอะไรบ้างสิ่งที่เป็นอุปสรรคเนี่ย คือเวรกรรมของจิตดวงนั้นพันธุกรรมทางจิตเราต้องพุทโธ พุทโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วให้มันลงไปพิสูจน์ การลงไปพิสูจน์อันนี้ต่างหาก มันเป็นภาคปฏิบัติไง

ถ้าภาคปฏิบัติลงไปพิสูจน์เลย แล้วทางธรณีวิทยาเห็นไหม ดูสิ พื้นที่ไหนก็แล้วแต่ถ้าเขาได้สำรวจแล้ว ผู้ที่สำรวจใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าเนี่ยมันสำรวจไปเนี่ย อยู่ที่เครื่องมือ อยู่ที่ความละเอียดรอบคอบ เขาจะได้พิสูจน์ว่าเขาจะเจอแร่ธาตุสิ่งใดๆ เพิ่มมากขึ้น นี่ก็เหมือนกัน เนี่ยการตรวจสอบทางธรณีวิทยา การตรวจสอบทางจิตของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้ตรวจสอบมาแล้ว แล้วได้วางไว้ใช่ไหม แล้วได้เขียนเป็นตำราเขียนไปทางวิชาการวางไว้ แล้วให้ทดสอบกันอย่างนี้ ทดสอบกันอย่างนี้ แล้วนั่นน่ะ นั่นเป็นทดสอบที่จดบันทึกไว้

แต่ความจริงที่เราเข้าไปในพื้นที่ ที่เข้าไปประพฤติปฏิบัติ ฉะนั้นบอกว่าเวลาทำแล้ว จะบอกว่าไม่ต้องไปห่วงไอ้ผลการบันทึกนั้นเลย เพราะเรามาตรวจสอบแล้ว มันเป็นการตรวจสอบของเรา ถ้าเครื่องมือสมัยปัจจุบันมันดีกว่าอดีตมาตั้งมากแล้ว เครื่องมือเครื่องไม้เครื่องมือ การพิสูจน์มันดีขึ้นทางวิทยาศาสตร์มันดีขึ้น ทุกอย่างดีขึ้นเราตรวจสอบของเรา

ถ้าจิตมันจะลงปล่อยให้ลงไปแล้วสติตามไป มันจะเป็นสิ่งใดอันนั้นของจริงนะแล้วของจริงเนี่ย เราจะบอกว่าถ้าเราไปกังวลเห็นไหม เวลาพูดนี่พุทธพจน์นะ พุทธพจน์นะเราจะพูดย้อนกลับตลอด เราไม่เถียงหรือไม่คัดค้านพุทธพจน์เลย เพราะพุทธพจน์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้ว ท่านมีความจริงในใจของท่าน แล้วท่านวางสิ่งนี้ไว้ให้เป็นประโยชน์กับเราอีกต่างหาก แต่ผู้ที่เอามากล่าวอ้างน่ะ ก็เหมือนกับเราเอาข้อมูล เราถือข้อมูลมา แต่เรายังไม่ได้สำรวจในพื้นที่ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าในพื้นที่นั้นมันจะมีสิ่งใด แต่เรามีทางวิชาการอยู่เห็นไหม เรารู้ ฉะนั้นเราก็ติดขัดไปหมดเลย ทั้งๆ ที่ในพื้นที่นั้น มันมีแร่ธาตุอย่างอื่นที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ เห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ เห็นว่าไม่จดจารึกไว้ มันจะไม่เป็นความหนัก หรือเป็นสิ่งที่ให้ผู้ที่ศึกษานั้นเข้าถึงแร่ธาตุส่วนที่เป็นประโยชน์ความเป็นจริงนั้น นี้เราเข้าไปตรวจสอบมันจะมีมากกว่านั้น

ฉะนั้นพอมีมากกว่านั้นแล้ว ธรรมของพระพุทธเจ้า จึงบอกว่าใบไม้ในกำมือกับใบไม้ในป่าไง ใบไม้ในกำมือ คือบันทึก บันทึกหรือข้อมูลที่พระพุทธเจ้าเก็บไว้ให้เราเนี่ยแค่ใบไม้ในกำมือ ใบไม้ในป่าถ้าเราพิสูจน์ตรวจสอบแล้วมันยังมีอีกมาก แต่นี่ทางนิพพานกระดาษ เขาบอกว่าใบไม้ในกำมือก็คือสิ่งที่เป็นความจริง แล้วสิ่งที่เขาบอกว่าเขาเป็นจินตนาการ เอาความเห็นของเขา เขาบอกอันนั้นเป็นใบไม้ในป่า ไม่ใช่ใบไม้ในป่ากับใบไม้ในกำมือ คือธรรมะแท้จริงเหมือนกัน ไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะจดจำหรือธรรมะจินตนาการ ไม่ใช่ ถ้าเป็นธรรมะที่เป็นความจริงเนี่ย ใบไม้ในป่ามันเป็นความจริงเหมือนกัน

ความจริงที่ว่า ถ้าใจมันถึงที่สุดเห็นไหม ดูสิดูเวลาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นนะเวลาลูกศิษย์ลูกหามาเนี่ยเห็นไหม ท่านพูดถึงหลวงปู่ชอบกับหลวงปู่ฝั้น ให้จับขโมยแทนผมที เวลาผมเทศน์เนี่ย ผู้ที่มีความสามารถเนี่ย มีสององค์เท่านั้นเอง หลวงตานี่นะ เวลาท่านลง จิตท่านสงบอย่างไรแล้วแต่ สังเกตได้ไหมที่หลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่ฝั้นไปหาหลวงปู่มั่นน่ะ ไปคารวะหลวงปู่มั่น แล้วจะบอกว่ากลิ่นหอมทั้งหมดเลย หอมมากเลยแต่ไม่ใช่หอมธูปหอมเทียน เนี่ยแล้วหลวงปู่มั่นบอกว่าใช่

หลวงตาท่านก็อยู่ด้วยเห็นไหม ถ้ามีวุฒิภาวะเหมือนกันจะไม่ถามไง แต่นี่พอหลวงปู่ฝั้นกลับแล้วไง เห็นไหม หลวงตาก็ขึ้นไปถามหลวงปู่มั่นว่า ที่หลวงปู่ฝั้นบอกว่า เนี่ยที่ว่าหอมๆ มีกลิ่นหอมมากแต่ไม่ใช่หอมธูปหอมเทียนนั้นคืออะไร คำว่าคืออะไรคือไม่เห็นใช่ไหม คือไม่เห็น พอไปถามหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอกว่า โอ้โฮ รุกขเทวดาเต็มไปหมดเลย หลวงปู่ฝั้นกับหลวงปู่มั่นท่านเห็นด้วยกัน ท่านพูดด้วยกับคนที่เห็นด้วยกันเห็นไหม ไม่ใช่หอมธูปหอมเทียน แต่หอมไปหมดเลย หลวงปู่ฝั้นบอก ใช่ เนี่ยผู้เห็นด้วยกันเนี่ย ไม่ต้องเถียงไม่ต้องพูดอะไรให้มากคำเลย แต่ผู้ที่ไม่เห็น แต่ผู้ไม่เห็น แต่เวลาถึงที่สุดแล้วก็ไปถามหลวงปู่มั่นเนี่ยรุกขเทวดานี่จะบอกว่าเห็นไหม

เนี่ยความรู้ความเห็น เวลาถ้ามันไปถึงที่สุด ที่ใบไม้ในป่า ใบไม้ในกำมือเนี่ยใบไม้ในป่าเห็นไหมหลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้น ท่านก็รู้ของท่าน ท่านก็เห็นของท่านเนี่ย แล้วครูบาอาจารย์บางองค์น่ะเห็นแตกต่างกันไป อย่างเช่นหลวงปู่ผาง หลวงตาเล่าประจำว่าหลวงปู่ผางจะมีความชำนาญเรื่องพญานาคมากเลย พญานาคเนี่ยหลวงปู่ผางชำนาญมากเลย เนี่ยใบไม้ในป่าอีกส่วนหนึ่ง ใบไม้ในป่ามันมีมากไปหมด แล้วความฉลาดของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน

ฉะนั้นถ้าใบไม้ในป่ามันเป็นความจริง มันเป็นความจริงของแต่ละบุคคล มันเป็นความจริงของใจดวงนั้น นี่พูดถึงนิพพานของจริงไง นิพพานของจริงมันอยู่ที่ใจนิพพานของจริงมันอยู่ที่สามัญสำนึกจากสันทิฏฐิโก มันเป็นสันทิฏฐิโกมันเป็นความรู้จริงเห็นจริงจากใจดวงนั้น แล้วนิพพานของผู้นั้น นิพพานของคนๆ นั้น เพราะนิพพาน นิพพานก็นิพพานเหมือนกัน นิพพานเหมือนกัน หมายถึงพระที่มีคุณวุฒิเหมือนกัน เวลาพูดแสดงธรรมออกมาเนี่ยเหมือนกันเลย ไม่มีขัดแย้งกันเลย

เราฟังจากครูบาอาจารย์ท่านพูดมาต่อๆมานะว่า ในหลวงเรา ตอนที่ท่านศรัทธาพระป่า แล้วท่านไม่มีเวลามา ท่านให้ด็อกเตอร์เชาว์ มาเป็นตัวแทนไง ด็อกเตอร์เชาว์จะหาข้อมูล จะไปเสนอในหลวงประจำ แล้วด็อกเตอร์ก็ไปหาหลวงปู่ขาวหลวงปู่ฝั้นไปหมดนะ แล้วก็ไปรายงานในหลวงว่าไปถึงแล้ว ทางเดินแตกต่างกันแต่ผลที่สุดเหมือนกันหมดเลย เหมือนกันหมดเลยเห็นไหม เหมือนกันคือเข้าถึงเป้าหมายอันเดียวกันหมดเลย เพราะว่าถ้าเป็นความจริง ความจริงกับความจริงมันไม่แตกต่างไม่แตกต่าง ไม่แตกต่างตามความเป็นจริง แต่วิธีการน่ะวิธีการอันนี้ วิธีการเราเข้าใจได้ไงเราเข้าใจเรื่องวิธีการได้ แต่วิธีการนั้นก็จะเข้ามาสู่เป้าหมายนี้ แต่ถ้าวิธีการนั้นมันบิดเบือน มันไม่เข้าสู่เป้าหมายนั้นได้ มันไม่ใช่เป้าหมายไม่ได้

เหมือนกับสินค้า สินค้าเป็นความจริง สินค้าที่มีลอกเลียนแบบน่ะ ลอกเลียนแบบเนี่ยเรื่องวัตถุก็แตกต่างกันแล้ว เพราะคุณภาพของแร่ธาตุก็แตกต่าง แล้ววิธีการเอาไปใช้งานไม่ได้เรื่องเลย เพราะอันนั้นมันจะทำให้เครื่องนั้นเสียไปเลย นี่ก็เหมือนกัน เราทำสติเราทำสมาธิต่างๆที่เราว่ามันเป็นจริง มันเป็นจริงเนี่ย มันเป็นส่วนประกอบที่ไม่มีคุณภาพ แล้วเข้าไปประกอบในส่วนของเครื่องยนต์ที่มีคุณภาพนี่ มันใช้งานกันไม่ได้หรอก มันทำให้เครื่องยนต์เครื่องมือเสียหายไปหมดเลย นี่ก็เหมือนกัน สติทำอย่างไรคุณภาพของเครื่องยนต์ใช่ไหม เครื่องยนต์ที่จะใช้อย่างเช่น เครื่องบินอย่างนี้ เครื่องยนต์ของเครื่องบิน จะใช้เครื่องบินนี่ถ้าถึงอายุการใช้งานหมดนะ เขาทิ้งหมดเลยต้องเปลี่ยนทันที ถ้าไม่เปลี่ยนนะ เดี๋ยวมันจะทำให้เครื่องบินทั้งลำตกหมดเลย เนี่ย ศีล สมาธิ ปัญญามันจะมีคุณภาพ มันจะมีคุณภาพ รองรับเข้ามานะ

มันจะส่งขึ้นมาเป็นชั้นๆ ขึ้นมา ถ้ามันส่งชั้นๆ ขึ้นมาเนี่ยพูดถูกหมดเลย แต่ถ้ามันพูดผิดขึ้นมาเนี่ย สมาธินี้มันมีสัมมา กับมิจฉา ถ้ามิจฉามันจะส่งลงข้างล่าง ถ้าสัมมาจะส่งสูงขึ้นเห็นไหม ถ้าปัญญาก็เหมือนกัน ทุกอย่างมีมิจฉาและสัมมาหมด มิจฉาคือความถูกต้องดีงาม มันจะส่งให้ขบวนการนั้นสูงขึ้นๆ ดีงามถูกต้อง ถ้าขบวนการนั้นเป็นมิจฉา สัมมากับมิจฉาเนี่ย มันฟังออกนะแล้วฟังออกนี่ เวลาครูบาอาจารย์นะเวลา ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตมํ ครูบาอาจารย์เวลาพบกันเห็นไหม ผู้ที่เข้าป่าออกมาจากป่ามาพูดธรรมะกันเห็นไหม เนี่ยระหว่างสัมมากับมิจฉาเนี่ย มีอาจารย์องค์หนึ่งเห็นไหม ท่านพิจารณาของท่านมา พิจารณากายของท่านมาตลอดเวลา แล้วพอพิจารณากายท่านเข้าใจว่า... แล้วท่านก็ปล่อยมาตลอดเห็นไหม แล้วไปหาครูบาอาจารย์เรานะ บอกให้พิจารณากายสิ พิจารณาไม่ฟังนะ ไม่ฟัง พอไม่ฟัง ดั้นด้นขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่เห็นไหม หลวงปู่มั่นว่าไงรู้ไหม พิจารณากายแล้ว ต้องให้หลวงปู่มั่นพูด ถ้าหลวงปู่มั่นพูดนะต้องกลับมาพิจารณากายอีกล่ะ

เขาพิจารณากายนั่นแหละ แต่พิจารณากายไปแล้วเนี่ยเพราะว่าคำว่ามิจฉากับสัมมา ถ้าพิจารณากายโดยมิจฉาเนี่ย พิจารณากายไปแล้วมันสักแต่ว่า มันทำไปโดยสักแต่ว่า มันไม่มีผลตอบรับ แต่ถ้าพิจารณากายโดยสัมมาทิฐิ มิจฉาทิฐิเนี่ยมันไม่มีผลตอบรับ พิจารณากาย พิจารณากายเนี่ย ดูสิดูภาพเห็นไหม ภาพคอมพิวเตอร์เดี๋ยวนี้เราสร้างภาพได้ทั้งนั้น พิจารณากาย พิจารณากายโดยมิจฉาทิฐิ พิจารณากายเหมือนกันแต่ผลตอบรับมันไม่มี แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฐิ พิจารณากายขึ้นมาเนี่ยมันจางคลาย มันเริ่มผ่อนคลาย มันทำให้จิตนี้เบาลง จิตที่ว่ามันปล่อยวางได้เนี่ย ถ้ามันพิจารณากายโดยสัมมาทิฐิ เนี่ยมันสัมมาทิฐิเห็นไหม เนี่ยสัมมาปัญญา มิจฉาปัญญา ทุกอย่างมันมีสัมมาหรือมิจฉา แล้วถ้าพิจารณาไปเนี่ย โดยเป็นกลาง โดยมัชฌิมาปฏิปทาพิจารณาไป เวลาพิจารณาซ้ำบ่อยๆ ครั้งเข้านี่ มันฟั่นเฟือนเพราะมันใช้งานบ่อยเข้า มันต้องกลับไปที่สัมมาสมาธิเพื่อเพิ่มกำลังขึ้นมา มันมีความสมดุลของมัน มีการวิปัสสนาของมัน

เวลาครูบาอาจารย์เราคอยบอกกันเห็นไหม ให้พิจารณากายพิจารณากายเนี่ย เขาไม่ฟัง ถ้าบางทีไม่ลงกัน ไม่ฟังไปหาหลวงปู่มั่นมันก็พิจารณากายเหมือนเดิมนั่นน่ะ ถ้าพิจารณากายเหมือนเดิมเห็นไหม ที่ว่าพิจารณากายในกาย กายนอก กายในกาย มันเป็นอีกชั้นๆ เข้าไปนะ ถ้าเป็นวิปัสสนาธุระโดยที่ครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม เราถือนิสัยกัน เรามีความเคารพต่อกัน กริยาจากข้างนอกหมายถึงว่าจริตนิสัย คำว่าจริตนิสัย ต่างกัน ส่วนหนึ่งนะจริตนิสัยเรารับไว้ แต่พวกเราเห็นไหมเราต้องจับประเด็นผลของมันสิ

ผลที่ทำแล้วได้ผลหรือไม่ได้ผล แม้แต่โสตของเราเนี่ย โดยการโสตวิญญาณเห็นไหม เราฟังของเราเนี่ย มันก็มีเหตุมีผลนะ ถ้ามันมีเหตุผลรองรับสิ่งใดต่างๆ รองรับขึ้นมาเนี่ย อันนี้มันเป็นไปได้ แล้วเราพิสูจน์ของเรา เราพิสูจน์พยายามทำของเราให้เป็นผลขึ้นมาอย่างนั้น ถ้าผลมันได้ขึ้นมาเห็นไหม รสของธรรมชนะทั้งรสทั้งปวง อ๋อๆ สมาธิเป็นอย่างนี้ ปัญญาเป็นอย่างนี้

แต่ถ้ามันยังไม่เป็น ถ้าคำว่าเป็นนี่นะ คำว่าเป็นมันเห็นผลเลย ถ้ามันไม่เป็นอย่างนั้น มันไม่เป็นนะ มันเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญเนี่ย ปัญญาเราใช้ได้ ปัญญาใช้ได้ทุกที่เลย แต่ปัญญาอย่างนี้ ปัญญาเพื่อจะให้เรามั่นคงแข็งแรงขึ้นมา ให้จิตใจมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาใช้ปัญญา ปัญญาตรึกในธรรมไง ตรึกในธรรมพระพุทธเจ้าก็ทำอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไปศึกษากับใครมาต่างๆ เรามาตรึกได้ แล้วเราล่ะ เราเป็นอย่างไรการกระทำเราเป็นอย่างไรเห็นไหม

ปัญญาอย่างนี้ใช้ได้ ใช้ให้จิตใจมันเข้มแข็ง ใช้ให้จิตใจมีจุดยืนขึ้นมา เนี่ยปัญญาอบรมสมาธิปัญญาเนี่ยฝึกได้ตลอดเวลา แต่เวลาพูดถึงว่าใช้ปัญญา ปัญญาคำว่าปัญญาเนี่ยมันมีโลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา แล้วปัญญาในขั้นของโสดาบัน ปัญญาในขั้นของสกิทา ปัญญาในขั้นของอนาคา ปัญญาของพระอรหันต์ ของอรหัตมรรคนะ อรหัตมรรคเนี่ยไม่ใช่พระอรหันต์นะ อรหัตมรรคผลพิสูจน์ของมันคืออรหัตมรรค อรหัตผล นิพพานหนึ่ง อรหัตมรรคเนี่ยเวลาผลของอรหัตมรรคเนี่ย อรหัตมรรค อรหัตผล

สิ่งที่เป็นอรหัตมรรคไม่ใช่อรหัตผล สิ่งที่อรหัตมรรคเนี่ยปัญญาของขั้นอรหัตมรรคเห็นไหม ทำไมมันแตกต่าง มันลึกซึ้งแตกต่างอย่างไร มิติความลึกตื้นต่างกัน เพราะมันมี สมาธิมันก็แตกต่าง สติ ปัญญา มหาสติ มหาปัญญา ปัญญาอัตโนมัติ มันแตกต่างอย่างใด เนี่ยความแตกต่างความลึกซึ้งมันมีความแตกต่างทั้งนั้นเลย วิปัสสนาธุระเนี่ยรู้ได้หมด ถ้ารู้ไม่ได้หมดเห็นไหม ฟังหลวงตาพูดไหม หลวงตาพูดบ่อยเลยเวลาไปฟังเทศน์ครูบาอาจารย์น่ะ ฟังปั๊บรู้เลยใครติดตรงไหน รู้ทันที หลวงปู่บัวเห็นไหมมาพูดน่ะ เอ้า พูดมาเป็นขั้นเป็นขั้นขึ้นมา เอ้าพูดมาสิหมดแล้วแหละ หมดแล้วเห็นไหมคนเป็นเห็นไหม หมดแล้วคิดว่าอย่างใด ก็คิดว่านี่คือนิพพาน อุ้ยตาย ท่านว่าน่ะอุ้ยตายเพราะอะไรอุ้ยตาย เพราะมันยังมีอีกสเต็ปหนึ่งยังต้องขึ้นไป

แต่เวลาคนพูดขึ้นมาเนี่ย เป็นชั้นๆเป็นชั้นเนี่ยปั๊บสุดแล้วเข้าใจว่าจบไงเข้าใจว่า นี้ในการปฏิบัติเนี่ยมันละเอียดมาก นี้พูดละเอียดมากแล้วถามว่า แล้วตัวเองคิดว่าอย่างใด คนที่พูดน่ะคิดว่าอย่างใด นี้พอคนที่พูดบอกก็คิดว่านี้คือนิพพาน แต่ถ้าบอกว่าไม่เน้นย้ำใช่ไหม แล้วบอกว่าต้องไปอีก พอบอกต้องไปอีกปั๊บ เขาก็บอกว่าเขาทำแล้วยังไม่พูดถึงเห็นไหม มันต้องสรุปก่อนว่า แล้วตัวเองคิดว่าอย่างใด แล้วยังมีการต่อไปได้อีกไหม แล้วคิดว่าจะถอยไหม เวลาพูดธรรมะมันต้องดักหมดนะ ไม่งั้นเวลาคนพูดเนี่ยมันจะแถเพราะกิเลส

โอ้โฮ กิเลสเนี่ยมันเล่ห์กลมันร้อยแปด เอ้า ว่ามาสิว่ามาให้หมด หมดแล้วครับแล้วคิดว่าอย่างใด นี้คือนิพพานครับ อุ้ยตาย เอานะ คืนนี้ไม่ต้องไปสวดมนต์นะ ให้ทำอย่างนี้อย่างนี้ๆๆ อย่างนี้ต่อไปเพราะผู้บอก บอกว่าจบแล้วใช่ไหม คิดว่าอย่างใด คิดว่านี้คือนิพพาน ถ้านี้เป็นนิพพานแล้วใช่ไหมให้ทำอย่างนี้ๆๆ พอให้ทำอย่างนี้ๆ ปั๊บ แล้วคืนนี้ไม่ต้องไปนะ ไม่ต้องไปสวดมนต์ ท่านจะรับหน้าเอง ท่านลงไปสวดมนต์ทางนี้ก็ดำเนินการเลย

หลวงตาท่านพูดอีก บอกว่าเขาติดมาเป็นสิบๆ ปี พอติดมาสิบๆ ปีเนี่ยเราสะสมกำลังไว้เยอะ กำลังที่สะสมไว้มันไม่ได้ออกใช้ปัญญา เพราะคำว่านี้คือนิพพาน พอนี้คือนิพพานมันไม่ทำอะไรล่ะ มันนอนจมอยู่นั่นน่ะ แต่มันนอนจมนี่มันได้สร้างสมพลังงานไว้เยอะ ฉะนั้นพอบอกให้ทำอย่างนี้ต่อไปนะ ไม่บอกเลย ให้ทำเลยคือว่าให้จิตออกเลย พยายามออกมาเลยพอจิตออกถ้าไม่บอกเนี่ย เราไม่บอกเนี่ย เราอยู่เฉยๆ แล้วเราหาอะไรไม่เจอเนี่ยเราก็จบ ท่านบอก มีคนที่เป็นบอกว่าให้ใช้ปัญญาอย่างนี้ ให้หันความคิดเข้าไปตรงจุดนี้ ให้ทำอย่างนี้ พอกำลังมันมีอยู่แล้วใช่ไหม พอมีคนแนะปั๊บมันก็ออกเลย

โอ้โฮ หลวงตาท่านบอกว่าจิตนี้ติดมาหลายปี พอติดมันไปสะสมกำลังไว้มาก พอสะสมกำลังมากๆ พอจิตมันม้วนเข้ามาถึงภายในของมันน่ะ พอม้วนกลับเข้ามาพอม้วนกลับเข้ามาถึงตัวมันเอง แล้วทำลายตัวมันเองนะ บอกว่าเวลาขาง ขางคานมันขาดพึ่บ ลงนี้ลงแรงมาก ขณะจิต หลวงตาท่านบอก เวลาท่านลงเนี่ยกระเทือนสามโลกธาตุมันหวั่นไหวหมดเลย อันนี้ขางของคานมันขาดยุบลงเลย แบบว่าโลกนี้ยุบตัวลงเลย พอยุบตัวลงเลยเนี่ยความรู้สึกบอกว่า โอ้..ขางตัวเอง เข้าใจว่าขางคือคานที่กุฏิที่นั่งอยู่น่ะมันยุบลง ความรู้สึก

แต่พอมารายงานหลวงตา หลวงตาบอกว่าคานของกิเลส คานของอวิชชามันขาดลงนี่วิปัสสนาธุระ ไม่ใช่นิพพานกระดาษ นิพพานจริงๆ นะ เพราะการปฏิบัติน่ะ ถ้าปฏิบัติมาถูกต้องดีงามเนี่ย แต่อำนาจวาสนาของคนมันก็มีติด มีติดข้องมีการเกาะเกี่ยวมีการกระทำเนี่ย มันมีของมัน ถ้ามีครูบาอาจารย์เห็นไหม มันจะแก้ไขมาเป็นชั้นเป็นตอน เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา จนถึงที่สุดน่ะ มันจะเป็นคุณสมบัติ เป็นความเป็นจริงคือนิพพานแท้ๆ นิพพานเป็นสันทิฏฐิโก นิพพานในหัวใจไม่ใช่นิพพานกระดาษ เอวัง